เจาะลึก Spirits เรื่องราวกว่าจะมาเป็น Gin

14 พฤศจิกายน 2023
Posted in: Liquor Basic
More from this author
By MR.LIQ9

 

สำหรับใครที่ยังคิดว่า Gin (จิน) มีต้นกำเนิดมาจากประทศอังกฤษ ก็ไม่น่าจะแปลกใจสักเท่าไหร่ครับ เพราะถ้าได้รู้ความเป็นมาจริง ๆ แล้ว เราจะทราบทันทีว่า ทำไมหลายคนจึงเข้าใจผิดกันบ่อย ๆ และอีกหลากหลายเหตุการณ์ความวุ่นวาย กว่าจินจะเป็นจินได้จนถึงทุกวันนี้ ผ่านอะไรมาบ้าง ต้องตามมาดูกันเลยครับ


จาก GENEVER กลายเป็น GIN

Gin 101

เดิมนั้น Gin (จิน) ถือเป็นยาสมุนไพร โดยมีชื่อว่า Genever (เจนีเวอร์) ถูกคิดค้นขึ้นในประเทศ Netherland (เนเธอร์แลนด์) ใน ปี 1650 โดย Dr.Franciscus de La Boe (ดร.ฟรานซิสกัส เดอ ลา เบอร์) ที่พยายามคิดค้นยารักษาความบกพร่องของระบบไต ด้วยการผสมแอลกอฮอล์ เข้ากับธัญพืชพื้นเมืองต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ทั้ง ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโพด และที่ขาดไม่ได้คือ Juniper Berries (จูนิเปอร์ เบอร์รี่) นั่นเองครับ โดย ชื่อของ Genever มาจากภาษาดัตช์ หมายถึง Juniper Berries (ไม่เกี่ยวกับประเทศเจนีวาแต่อย่างใด)

โดย Genever นั้นได้ถูกนำไปใช้เป็น “ยา” ของทหารฮอลแลนด์ตอนออกรบ และเมื่อครั้งที่ทหารอังกฤษต่อสู้กับทหารสเปน เพื่อที่จะเข้าไปยึดครองประเทศฮอลแลนด์ ทหารอังกฤษก็ได้นำ Genever กลับประเทศ ก่อนที่จะไปดังที่ประเทศอังกฤษ และกลายเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย โดย ขณะนั้นก็เรียกได้ว่าฮิตติดปากระดับนึงถึงขนาด ตั้งชื่อเล่นให้ ว่า Dutch Courage (น้ำกล้าหาญของชาวดัตช์) ก่อนที่จะเพี้ยนไปเป็น Gin จนหลายคนคิดว่าเป็น เหล้าที่เกิดจากประเทศอังกฤษไงละครับ (เพี้ยนมาจาก Genever กลายเป็น Ginever และย่อเหลือเพียง Gin ในที่สุด)


กว่าจะมาเป็น LONDON DRY GIN ที่รู้จักกัน

Gin Craze

หลังจากที่ Gin ได้เข้ามามีความนิยมอย่างมากในประเทศอังกฤษ จนเกิดเป็นยุค Gin Craze (ตามภาพด้านบน) ในช่วงศตวรรษที่ 18 ที่คนทั้งประเทศอังกฤษเมา Gin กันทั้งเมืองแทบจะทุกตารางนิ้ว ส่งผลให้เกิดปัญหาสังคม จนรัฐบาลอังกฤษกังวลเป็นอย่างมาก ถึงขั้นออกกฎหมายมาควบคุมการผลิตและจำหน่าย แต่!! ไม่ได้ผล คนยังคงนิยมดื่ม Gin เพราะทั้งอร่อย มีราคาถูกกว่าวิสกี้และเบียร์หลายเท่าตัว โดยนิยมเป็นอย่างสูงในหมู่คนชนชั้นล่าง

และการเปลี่ยนแปลงของ Gin ก็เป็นไปตามยุคสมัย เมื่อกฎหมายการห้ามจำหน่ายและห้ามผลิตเบาลง ทำให้ผู้คนไม่รู้สึกว่าต้องต่อต้านอีกต่อไป ความนิยมจึงลดตามลง แต่ก็ทำให้คุณภาพการผลิตดีขึ้นอย่างมาก มีการคิดค้นเครื่องกลั่นแบบต่าง ๆ ที่กลั่นได้ต่อเนื่องและได้สปิริตที่ ไร้รส ไร้กลิ่น และทำการผลิตได้มากขึ้น และรักษามาตราฐานได้ดีกว่าเดิมเพราะเหตุนี้ Gin จึงไปเติบโต และไปได้รับความนิยมในหมู่คนชั้นสูงแทน และได้ตั้งชื่อใหม่ตามแบบการผลิต กลายเป็น Dry Gin กับ London Dry Gin ที่คุ้นหู คุ้นตากันนั่นเองครับ

นิยมขนาดที่ว่า ปัจจุบันในประเทศอังกฤษมีการตั้ง Gin and Vodka Association of Great Britain (สมาคมจินและวอดก้า) ขึ้นมาเพื่อรักษามาตราฐานและโปรโมท Gin ของประเทศอังกฤษโดยเฉพาะ ซึ่งทุกวันนี้ชาวอังกฤษ ดื่ม Gin ปีละกว่า 25 ล้านลิตร จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหลายคนคิดว่า  กำเนิดมาจากประเทศอังกฤษ (ก็เล่นใหญ่กว่าประเทศผู้ให้กำเนิดเสียอีก)


กฎหมายการผลิตจิน GIN ในปัจจุบัน

How to Gin
การที่จะเรียกว่า Gin ได้ ในปัจจุบัน ก็ได้มีกฎหมายกำหนดไว้แล้วเช่นกัน (ตั้งแต่ยุคที่จินได้รับความนิยมในประะเทศอังกฤษ ก็ได้มีการกำหนดมาตราฐานการผลิตเอาไว้) โดยการผลิต Gin เบื้องต้นต้องมีการกลั่นอย่างน้อย 3 ครั้ง (หรือมากกว่าก็ได้) และต้องมีส่วนประกอบหลักเป็น Juniper Berries มากกว่า 50% ของสมุนไพรทั้งหมดครับ โดยปกติมักจะมีส่วนผสมเบื้องต้นดังต่อไปนี้
Gin Botanicals

เปลือกส้ม (Orang Peel), เทียนสัตตบุษย์ (Anise), ยี่หร่า (Caraway), หวายเทศ (Caramus), ออร์ริส (Orris), โกฎน้ำเต้า (Rhubarv), อัลมอนต์ (Almond), คาลัมบา (Calamba) และที่ขาดไม่ได้คือ จูนีเปอร์ เบอรร์รี่ (Juniper Berries)

ในปัจจุบันก็ได้มีการเพิ่มรสชาติให้มีเอกลักษณ์มากกว่าเดิม ด้วยการเติมแต่งกลิ่นเข้าไป (เรียกว่า New Wave Gin) อย่างผู้ผลิตอย่าง Hendrick's Gin ก็ได้ใช้ กุหลาบและแตงกวามาผลิต ซึ่งก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และยังได้รับความนิยมระดับโลกอีกด้วย

 

คลิ๊ก! เพื่อเลือกชมสินค้า Gin (จิน) ทั้งหมด