Beer ประเภทต่าง ๆ ที่คอ Beer ต้องรู้จัก
Beer (เบียร์) เป็นเครื่องดื่มยอดนิยม ของคนหลาย ๆ ประเทศเลยทีเดียว เราสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ Ale, Lager และ Lambic ซึ่งทั้งสามชนิดนี้ ถูกแบ่งตามระดับอุณหภูมิ และ Yeast ที่ใช้ในการผลิต เรามาดูกันเลยว่า Beer แต่ละประเภทจะแยกย่อยออกเป็นสไตล์อะไรกันได้อีกบ้าง !!?
| ALE (เอล)
Ale (เอล) ผลิตโดยใช้อุณหภูมิอยู่ที่ 18- 24 องศาเซลเซียส และหมักแบบ Top-Fermenting Yeast (ยีสต์หมักลอยผิว) คือการที่ยีสต์ จะลอยอยู่ที่ผิวหน้าของเบียร์เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการหมัก ความโดดเด่นของเบียร์เอลนั้น อยู่ที่รสชาติค่อนไปทางหวาน, มีสีหลากหลาย ตั้งแต่ทองสว่าง จนถึงสีน้ำตาล โดยแตกต่างกันไปตามเมล็ดข้าวที่นำมาใช้ในกระบวนการผลิต และแบ่งแยกย่อยลงไปได้อีก ดังนี้
เป็นเบียร์ที่มีส่วนผสมของข้าวสาลีมากกว่า 30% หรือมากกว่าครึ่ง ด้วยโปรตีนที่สูงกว่าข้าวบาร์เลย์ ทำให้มี Body ที่แน่น และชั้นฟองที่หนาละเอียด น้ำเบียร์มีความขุ่น มีกลิ่นของเปลือกส้ม และเมล็ดผักชี ลื่นคอ เหมาะสำหรับคนที่เริ่มต้นการดื่มเบียร์
2. Hefeweizen (เฮเฟอไวเซ็น)
เบียร์สไตล์ยอดนิยมของเบียร์เยอรมัน ดื่มง่าย ถูกปากคนไทย มักมีคนสับสนกับ Wheat Beer บ่อย ๆ ให้สัมผัสของกล้วย, การพลู และ Apple เหมาะกับการดื่มในโอกาสต่าง ๆ
3. Pale Ale (เพลเอล)
เบียร์สีทองสว่าง รสชาติอ่อน ดื่มง่าย มีรสชาติของ Hop ที่โดดเด่น ตามมาด้วยสัมผัสของข้าวมอลต์ ให้รสชาติที่สดชื่น กลมกล่อม มีสัมผัสสมดุล ดื่มได้ทุกโอกาส
4. IPA (ไอพีเอ)
ย่อมาจาก Indian Pale Ale เป็นที่นิยมในยุคล่าอาณานิคมของอังกฤษ เป็นสูตรดัดแปลงมาจาก Pale Ale เพราะการส่งเบียร์ไปยังอินเดียทางเรือนานเกินไปจนเบียร์เสีย จึงมีการเพิ่ม Hop ให้มากขึ้น เพื่อยืดอายุ ทำให้เป็นเบียร์ที่มีแอลกอฮล์สูง รสขมแต่สดชื่น และมีกลิ่นของ Passion Fruit มาพร้อมกับน้ำเบียร์สีทองแดง เบียร์ IPA ที่เพิ่ม Hops มาขึ้นไปอีก จะเรียกว่า Double IPA เป็นที่นิยมในกลุ่มสายฮาร์ดคอร์
5. Amber Ale (แอมเบอร์ เอล)
เป็นเบียร์ที่มีสีน้ำตาลอัมพันตามชื่อ รสชาติออกไปทางหวาน เพราะมีสัดส่วนข้าวมอลต์ที่สูง ไม่มีกลิ่น Hop ที่รุนแรง แต่จะแทนที่ด้วยกลิ่นคาราเมล, ดอกไม้บาง ๆ และ Citrus อีกเล็กน้อย
6. Stout (สเตาท์)
เบียร์สีเข้มจนเกือบดำ จากข้าวมอลต์บาร์เลยที่ผ่านการคั่ว มีสัดส่วนของ Hop เพียงเล็กน้อย ให้รสชาติที่หวาน ออกไปทางช็อคโกแลต, เมล็ดกาแฟ และข้าวโอ๊ต เหมาะกับการกินคู่กับของหวาน ๆ อย่าง Butter Cake หรือ Brownie
7. Porter (พอร์เตอร์)
เบียร์ที่มาพร้อมกับ Body ที่หนักแน่นและเข้มข้น แต่ให้สัมัสที่สดชื่น ผลิตด้วยการผ่านความร้อนที่สูง พร้อมสัดส่วนของ Hop ที่สูง ทำให้มีปริมาณแอลกอฮอล์ที่สูง และเมื่อนำมาปรับสูตรให้มีแอลกอฮอล์มากขึ้น จึงถูกเรียกว่า Stout Porter หรือเรียกในภายหลังว่า Porter
| LAGER (ลาเกอร์)
Lager Beer (ลาเกอร์ เบียร์) ผลิตโดยใช้อุณหภูมิต่ำกว่า Ale อยู่ที่ 7-12 องศาเซลเซียส หมักแบบ Bottom-Fermenting Yeast หรือยีสต์ที่จมอยู่ที่ก้นภาชนะเมื่อเสร็จสิ้นการหมัก เบียร์ลาเกอร์มีคาแรคเตอร์ที่สดชื่น, สะอาด และนุ่มนวล โดยจะแยกย่อยลงไปอีก ดังนี้
1. Lager (ลาเกอร์)
Lager ชนิดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ให้สีสว่างใส พร้อมรสสัมผัสของ Malt ที่หนักแน่น ให้รสสัมผัสที่สดชื่น คลีน ชั้นฟองที่ละเอียด ดื่มง่าย
2. Pilsner (พิลส์เนอร์)
เป็น Lager ที่มีความคล้ายคลึงกับ Pale Lager มีคาแรคเตอร์ที่คม ดื่มง่าย ให้สัมผัสคลีน Body บาง ให้รสหวาน Malt เล็กน้อย หอมกลิ่น Hop บาง ๆ
3. Bock (บ็อค)
Beer จากแคว้น Bavaria มีสีสันที่เข้มข้นจาก Malt คั่ว หรือ Dark Malt นิยมหมักในฤดูหนาว แล้วนำออกมาดื่มช่วงฤดูใบไม้ผลิ เดิมทีถูกจัดอยู่ในกลุ่ม Ale แต่มีการปรับกรรมวิธีการผลิตเป็นแบบ Lager ในศตวรรษที่ 17
4. Dunkel (ดุงเคล)
เป็น Lager อีกชนิดที่มีแอลกอฮล์สูง มีอีกชื่อเรียกคือ “เบียร์ดำ” จากความเข้มข้นของสี มีรสชาติของ Malt ที่นุ่มนวล เป็นสไตล์ที่นิยมและพบเห็นได้ในกรุง Munich
| LAMBIC (ลัมบิค)
1. Lambic (แลมบิค)
เป็น Lambic แบบดั้งเดิม ไม่ผ่นการผสมกับเบียร์ชนิดอื่น มีรสชาติทีแตกต่างออกไปในแต่ละถัง มีรสชาติเปรี้ยวแหลม คนนิยมดื่มน้อย
2. Gueuze (เคอซ)
เป็น Lambic ที่ผสมกันระหว่างเบียร์เก่าอายุประมาณ 1 ปี กับเบียร์ใหม่ อายุประมาร์ 2-3 ปี ให่่รสชาติลงตัวยิ่งขึ้น แต่ยังคงมีรสเปรี้ยวนำเหมือนเดิม
3. Faro (ฟาโร)
มีลักษณะเดียวกับ Gueuze แต่ดื่มง่ายขึ้น เพราะเพิ่มรสหวานของน้ำตาลเข้าไป
4. Fruit Lambic (แลมบิค ผลไม้)
Lambic ที่มีส่วนผสมของผลไม้ เพื่อเสริมกลิ่นและรสชาติ มีความซับซ้อนในตัว มีชื่อเรียกย่อยแตกต่างกันไปตามชนิดผลไม้ เช่น Kriek (เชอร์รี่), Framboise (ราวเบอร์รี่), Pêche (พีช), Cassis (แบลคเคอแรนท์) และ Aardbei (สตอเบอร์รี่)