| 1. การ Blend Whisky มีที่มาจากการผสมใบชา

John Walker ในช่วงก่อนที่จะสร้าง Johnnie Walker ขึ้นมานั้น เขาได้เปิดร้านขายของชำมาก่อน โดยเขามีงานอดิเรกคือการผสมใบชาเพื่อสร้างชาที่มีรสชาติใหม่ ๆ ขึ้นมา แต่หลังจากที่เห็นว่า Whisky ที่ขายในร้าน รสชาติไม่คงที่เอาเสียเลย ก็เลยประยุกต์การ Blend ใบชา มาใช้กับ Whisky จนเกิดเป็น Johnnie Walker ฉลากต่าง ๆ

| 2. ที่มาของฉลากสี

แต่เดิมนั้น Johnnie Walker มีชื่อเรียกที่ยาวมาก ทำให้การสั่ง Whisky ของ Johnnie Walker ตามบาร์ หรือจากร้านค้านั้นรู้สึกว่าลำบากไป อย่าง Old Highland Whisky, Special Old Highland Whisky และ Extra Special Old Highland Whisky เพื่อแก้ปัญหาจุกจิกนี้ George Paterson และ Alexander Walker ที่ 2 หลานของ John Walker จึงคิดวิธีการจำแนกรุ่นของ Whisky ด้วยสีของฉลาก เพื่อให้เรียกง่ายขึ้น โดยแบ่งเป็นฉลาก White Label (Old Highland), Red Label (Special Old Highland) และ Black Label (Extra Special Old Highland)

| 3. สุภาพบุรุษบนขวด

บนฉลากของ Johnnie Walker ทุกขวดนั้น มักจะมีรูปชายที่กำลังก้าวเดินอยู่ หรือที่รู้จักในชื่อ Striding Man ถ้าลองหยิบมาถามเล่น ๆ ว่านี่ใคร หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่านั้นคือตัวของ John Walker เอง… แต่จริง ๆ แล้วนั่นคือสุภาพบุรุษที่กำลังเดินอยู่บนถนนใกล้ ๆ โดย Tom Browne นักวาดการ์ตูนที่ได้รับการว่าจ้างให้ออกแบบโลโก้ในปี 1908 เอามาวาดเล่นที่ด้านหลังของใบเมนูอาหารนั่นเอง

| 4. การหันหน้าของ Striding Man

แต่เดิมนั้น Striding Man จะหันหน้าไปทางซ้าย ซึ่งเป็นทิศทางดั้งเดิมที่ Tom Browne วาดไว้ครั้งแรก จนกระทั่งในช่วง 1999 ได้มีการปรับรูปแบบของโลโก้ใหม่ ให้สลับมาทางขวาแทน เพื่อเป็นการสื่อถึงการเดินไปข้างหน้าสู่สหัสวรรษใหม่ ตามสโลแกนของแคมเปญ Keep Walking

| 5. Keep Walking

ในปี 1999 - 2007 บริษัท Diageo Moet Hennessy ผู้จัดจำหน่าย Johnnie Walker ได้ริเริ่มแคมเปญ Keep Walking เพื่อกระตุ้นยอดขายของแบรนด์ในช่วงนั้น โดยครอบคลุมไปกว่า 120 ประเทศ โดยมีโฆษณาทาง TV กว่า 50 ตัว, สื่อสิ่งพิมพ์ 150 แบบ รวมทั้งสนับสนุนกิจกรรมและงานการกุศลต่าง ๆ โดยผลที่ได้ ทำให้มียอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า จากปี 1999 ที่ได้ 75,200 ล้านบาท เป็น 145,920 ล้านบาท ในปี 2007

| 6. ขวดทรงเหลี่ยม

ในช่วงที่ Alexander Walker บุตรชายของ John Walker เปิดตัว Old Highland Whisky เขาก็ได้มีความคิดในการเปลี่ยนทรงขวด จากเดิมเป็นทรงกลม มาเป็นแบบสี่เหลี่ยมแทน เพราะการส่งออก Whisky ในช่วงนั้น จะใช้ทางเรือเป็นหลัก ทำให้มีโอกาสเกิดความเสียหายจากการกระทบกระเทือนได้ ดังนั้นเมื่อใช้ขวดทรงเหลี่ยม จะทำให้ลดช่องว่างระหว่างขวด ลดโอกาสที่จะเกิดความเสียหาบ อีกทั้งจัดวางสินค้าในลัง และชั้นวางทำได้ง่ายขึ้น

| 7. Johnnie Walker Blue Label

Blended Whisky ฉลากสีน้ำเงินนี้ คือฉลากที่หายากที่สุด ในบรรดาซีรีย์ Johnnie Walker Colours เพราะการที่จะ Blend ตัว Blue Label ขึ้นมานั้น จะมี Whisky เพียง 1 ถัง จากทั้งหมด 10,000 ถัง ที่มีคุณสมบัติและเอกลักษณ์ คู่ควรที่จะนำมาเป็นหัวใจหลักของฉลากนี้

| 8. Johnnie Walker กับราชวงศ์

ในวันที่ 1 มกราคม ปี 1934 Johnnie Walker ได้รับพระราชทานพระราชวโรกาสให้ผลิตสก๊อตช์วิสกี้เพื่อใช้ในวโรกาสต่างๆ ในราชสำนัก เรียกได้ว่าเป็นก้าวสำคัญของ Blended Scotch Whisky จากร้านขายของชำเล็ก ๆ จึงได้มีการผลิต John Walker & Sons King George V ออกมา เพื่อเป็นที่ระลึกในเหตุการณ์สำคัญครั้งนี้

| 9. ชื่อเรียกแบบไทย ๆ

ในปี พศ. 2467 เป็นครั้งแรกของ Johnnie Walker เข้ามาทำเปิดตลาดในประเทศไทย นับตั้งแต่ช่วงเวลานั้นก็ผ่านมา 90 กว่าปีแล้ว และในสมัยก่อนนั้นเขาไม่ได้เรียกชื่อแบรนด์และรุ่นตามชาวต่างชาติแบบทุกวันนี้ แต่ได้เป็นชื่อใหม่แบบไทย ๆ อย่าง “ตราดำ - ตราแดง” ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหมายถึง Johnnie Walker Black Label และ Red Label 2 ฉลากยอดนิยมอย่างแน่นอน เห็นเด่นเป็นสง่าอยู่บนป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ คู่กับชื่อแบรนด์ ที่เขียนทับศัพท์ว่า “ยอนนี ว๊อกเกอร์” ซึ่งเห็นอยู่ทั่วไป เพราะในสมัยนั้นการสามารถโฆษณาเหล้ายังไม่ถูกควบคุมแบบปัจจุบัน

| 10. John Walker & Son Siam Blend

บางคนอาจจะเคยเห็น Blended Scotch Whisky ที่ทำออกมาเป็นรุ่น Limited ในธีมของประเทศไทยมาบ้างแล้ว แต่นั่นก็ยังเป็นแค่ฉลากและแพคเกจเท่านั้น ข้างในก็ยังเป็นรุ่นฉลากสีอย่าง Red, Black หรือ Blue Label เหมือนเดิมแทบทั้งหมด เว้นแต่ว่าขวดนั้นจะเป็น John Walker & Son Siam Blend ที่ได้รับเกียรติจาก Jim Beveridge - Master Blender ของ Johnnie Walker ที่ร่วมออกแบบรสชาติ เพื่อให้ลงตัวกับรสนิยมการดื่มของคนไทย มีคาแรคเตอร์ของ Whisky จาก Speyside และ Lowland มีผลิตออกมาเพียง 50 ขวดในโลกเท่านั้น